วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

มาตรฐานสำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

มาตรฐานสำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

             
             
           
               การทำงานในสำนักงานจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันโต๊ะทำงานแต่ละตัวจะเป็นเสมือนจุดหนึ่งของการประมวลผลการวิเคราะห์การแยกแยะข้อมูลและส่งให้โต๊ะอื่น ๆ หรือหน่วยอื่น ๆ ต่อไปการเชื่อมโยงเครือข่ายทำให้เกิดเป็น ระบบแห่งการประมวลผลหรือทำให้คอมพิวเตอร์หลาย ๆ ระบบเชื่อมเข้าด้วยกันระบบสำนักงานอัตโนมัติจึงเป็นเรื่องของการประมวลผลในจุดต่าง ๆ แล้วส่งข้อมูลถึงกันผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
              เหตุผลของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าหากันเนื่องจากราคาของคอมพิวเตอร์ถูกลงและมีความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของระบบโดยรวมเพราะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวก็ทำงานได้ในตัวเองอย่างหนึ่ง แต่เมื่อรวมกันจะทำงานได้เพิ่ม ขึ้นและสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
              การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายจำเป็นต้องมีมาตรฐานกลางที่ทำให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างรุ่นต่างยี่ห้อทุกเครื่องหรือทุกระบบสามารถเชื่อมโยงกันได้ในระบบเครือข่ายจะมีการดำเนินพื้นฐานต่าง ๆ กันเช่นการรับส่งข้อมูล การเข้าใช้งานเครือข่ายการพิมพ์งานโดยใช้อุปกรณ์ของเครือข่ายเป็นต้น
              องค์กรว่าด้วยเรื่องมาตรฐานระหว่างประเทศจึงได้กำหนดมาตรฐานการจัดระบบการเชื่อมต่อสื่อสารเปิด (Open Systems Interconnection: OSI) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง 2 ปลายทางใด ๆ บนเครือข่ายระบบสื่อสารมีการแบ่งออก เป็นระดับ (Layer) ได้ 7 ระดับโดยแต่ละระดับจะมีการกำหนดมาตรฐานในการติดต่อเป็นของตัวเองและระดับหนึ่งจะติดต่อกับระดัที่เท่ากันของอีกปลายหนึ่งระดับที่สูงกว่าจะสั่งงานและรับข้อมูลที่ประมวล ผลแล้วจากระดับที่ต่ำกว่าโดยไม่จำเป็นต้องทราบรายละเอียดของระดับที่ต่ำกว่า
              การสื่อสารในระดับต่าง ๆ จะอาศัยการควบคุมเพื่อให้ระบบการทำงานนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องมีมาตรฐานโดยการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเก็ตจะเกี่ยวพันกับ 3 ระดับล่างซึ่ง ได้แก่
              1 ระดับฟิสิคัล (ชั้นกายภาพ) เป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลเป็นบิตซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับแรงดันไฟฟ้าช่วงความถี่คาบเวลา
              2 ระดับดาต้าลิงค์ (เชื่อมโยงข้อมูล Layer) เป็นระดับที่ทำการแปลงการรับส่งข้อมูลที่มีความไม่แน่นอนให้แน่นอนขึ้นโดยการจัดรูปแบบข้อมูลเป็นบล็อกเช่นเฟรม (Frame) พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด
              3 ระดับเนตเวอร์ค (Network Layer) ทำการส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้าไปในเนตเวอร์คแพ็กเก็ตก็อาจเดินทางไปอย่างอิสระโดยมีการจ่าหน้าแอดเดรสของผู้รับและผู้ส่งวิธีนี้เรียกว่า Datagrame

              ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากทั่วโลกแต่ละคนใช้คอมพิวเตอร์ต่างแบบต่างรุ่นกันดังนั้นสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยกลางที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ากันกันได้ซึ่งกลางนี้มีชื่อทางเทคนิค "โปรโตคอล" (ก็การภาษาภาษาว่า protocol) สำหรับโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตมีชื่อเรียกว่า TCP / IP ซึ่งได้แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อม ๆ กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและเป็นโปรโตคอลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
              การทำงานของโปรโตคอล TCP / IP จะแบ่งข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่งไปยังเครื่องอื่นไปส่วนย่อย ๆ (เรียกว่าแพ็คเก็ต: แพ็คเก็ต) และส่งไปตามเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยการกระจายแพ็กเก็ตเหล่านั้นไปหลายทาง โดยในแต่ละเส้นทางจะไปรวมกันที่จุดปลายทางและถูกนำมารวมกันเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
              รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล TCP / IP ที่มีการแบ่งข้อมูลและจัดส่งเป็นส่วนย่อยจะสามารถช่วยป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการติดต่อสื่อสารได้เพราะถ้าข้อมูลเกิดสูญหายก็จะเกิดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นมิใช่ หายไปทั้งหมดซึ่งคอมพิวเตอร์ปลายทางสามารถตรวจหาข้อมูลที่สูญหายไปได้และติดต่อให้คอมพิวเตอร์ต้นทางส่งเพียงเฉพาะข้อมูลที่หายไปมาใหม่อีกครั้งได้
              โปรโตคอล TCP / IP ถูกคิดค้นโดยรัฐบาลสหรัฐและถูกนำมาใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพี่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นในกรณีที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่ในรัฐใดรัฐหนึ่งถูกโจมตีจนได้รับความเสียหายเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถติดต่อถึงกันได้อยู่เพราะข้อมูลจะถูกโอนย้ายไปตามเส้นทางอื่นในเครือข่ายแทน


ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

              เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Computer) คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์ด้านการสื่อสารหรือสื่ออื่นใดทำให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนและใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายร่วม กันได้
              การที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้นเพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งาอย่างแพร่หลายจึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้นเพิ่มการใช้งาน ด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลงเครือข่ายมีตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียงสองสามเครื่องเพื่อใช้งานในบ้านหรือใน บริษัท เล็ก ๆ ไปจนถึงเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมไปเกือบทุกประเทศเครือข่าย สามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากทั่วโลกเข้าด้วยกันเราเรียกว่าเครือข่ายอินเทอร์เน็ต


โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 

1 เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network: LAN)
2 เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network: MAN)
3 เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network: WAN)

การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ 

หากต้องการที่จะนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเป็นระบบโดยใช้ขีดความสามารถเดิมที่มีอยู่สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้

        การเชื่อมต่อผ่านช่องทาง Com1, Com2 และ LPT เป็นวิธีที่นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต่อผ่านช่องทาง COM1 หรือ COM2 เพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างกัน
การเชื่อมต่อเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่องพิมพ์เป็นการแบ่งกันใช้เครื่องพิมพ์เพื่อให้การใช้ทรัพยากรเครื่องพิมพ์ (Printer) เกิดประโยชน์มากขึ้น
การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูลเป็นวิธีการต่อขยายระบบแบบง่าย ๆ ที่ใช้มือช่วยระบบสลับสายข้อมูลทำหน้าที่เหมือนชุมสายโทรศัพท์
การเชื่อมต่อผ่านระบบผู้ใช้หลายคนหลายช่องทางระบบผู้ใช้หลายคนขนาดเล็กที่อยู่บนไมโครคอมพิวเตอร์มีหลายระบบเช่นระบบยูนิกซ์ระบบลีนุกซ์ระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมขยายเข้ากับสถานีย่อได้มากเป็นระบบที่ใช้งานร่วม กันได้ในราคาประหยัด

โครงสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

โครงสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Topology) 




        เครือข่ายแบบบัส (รถบัสเครือข่าย) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิลในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
เครือข่ายแบบดาว (ดาวเครือข่าย) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเครือข่ายโดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลางการติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่าน ทางวงจรของหน่วยสลับสายกลางการทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
        เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสายคเบิลยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวนการรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวนจะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้นเมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไป ยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่จาก เครื่องต้นทาง
เครือข่ายแบบต้นไม้ (ต้นไม้เครือข่าย) เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานีการสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ ทั้งหมดเพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อมรับส่งข้อมูลเดียวกัน


องค์ประกอบของเครือข่าย 


ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
คอมพิวเตอร์ (เครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกค้า)
เซอร์เวอร์ (เซิร์ฟเวอร์)
ฮับ ​​(Hub)
บริดจ์ (สะพาน)
เราท์เตอร์ (Router)
เกตเวย์ (Gateway)
โมเด็ม (Modem)
เน็ตเวอร์คการ์ด (การ์ดเครือข่าย)
ซอฟต์แวร์ (Software)
ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่าย (Network Operating Sytems)
แอบพลิเคชั่นของเครือข่าย (Network แอพลิเคชัน Sytems)
ตัวนำข้อมูล (Transmission สื่อ)

          สายส่งข้อมูลหรือเคเบิ้ลเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในระบบเครือข่ายที่ใช้เป็นทางเดินของข้อมูลระหว่างเวิร์กสเตชันกับเซิร์ฟเวอร์มีลักษณะคล้ายสายไฟหรือสายโทรศัพท์แล้วแต่ชนิดของสายเคเบิ้ล แต่การเลือกใช้สายเคเบิ้ลนั้นควรคำนึงถึงความปลอดภัย (Safety) และคลื่น รบกวน (แทรกแซง) เป็นสำคัญสายส่งข้อมูลที่ดีไม่ควรเป็นตัวนำไฟเมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นและสามารถป้องกันคลื่นรบกวนจากอำนาจแม่เหล็กและคลื่นวิทยุได้ลักษณะของสายส่งข้อมูลแบ่งได้ดังนี้

         สาย Coaxial Cable หรือสาย Coax นอกจากใช้ในระบบเครือข่ายแล้วยังสามารถนำไปใช้กับระบบทีวีเมนเฟรมและได้ด้วยสาย Coax นั้นเป็นสายที่ประกอบไปด้วยแกนของทองแดงหุ้มด้วยฉนวนและสายดิน (ลักษณะเป็นฝอย) หุ้มด้วยฉนวนบาง อีกชั้นหนึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากลวดทองแดงมาเป็นลวดเงินที่พันกันหลาย ๆ เส้นแทนทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวนที่เรียกว่า "ครอสพูด" ซึ่งเป็นการรบกวนที่เกิดจากสายสัญญาณข้างเคียง
         สายบิดคู่สายเคเบิ้ลเป็นสายส่งสัญญาณที่ประกอบไปด้วยสายทองแดง 2 เส้นขึ้นไปบิดกันเป็นเกลียว (Twist) แล้วหุ้มด้วยฉนวนโดยแบ่งเป็น 2 แบบคือแบบมีโล่และแบบไม่มีโล่จะมีฉนวนในการป้องกันสัญญาณรบกวนหรือ ระบบป้องกันสัญญาณรบกวนโดยเรียกสายเคเบิ้ลทั้งสองนี้ว่า "ป้องกันคู่บิด (STP)" และ "หุ้มคู่บิด (UTP)"
         คู่สาย Shielded บิด (STP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน" เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คู่สาย Unshielded บิด (UTP) หรือที่เรียก "สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน" เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นทำให้สะดวกในโค้งงอเป็นสายที่มีราคา UTP ว่าการสาย ถูกและหาง่าย แต่ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ไม่ดีเท่ากับสายเอสทีพี
         สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงเป็นสายใยแก้วนำแสงชนิดใหม่ประกอบด้วยท่อใยแก้วที่มีขนาดเล็กและบางมากเรียกว่า "CORE" ล้อมรอบด้วยชั้นของใยแก้วที่เรียกว่า "กาบข้าง" อัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงถึง 565 เมกะบิต ต่อวินาทีหรือมากกว่าป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีมากขนาดของสายเล็กมากและเบามาก แต่มีราคาแพง

              นอกจากการสื่อสารข้อมูลตามสายรูปแบบต่าง ๆ แล้วยังมีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless เกียร์) ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลผ่านบรรยากาศโดยไม่ต้องอาศัยสายส่งสัญญาณใด ๆ เช่นระบบไมโครเวฟดาวเทียมสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นต้นซึ่งเป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความถี่แตกต่างกันทำให้การสื่อสารทำได้รวดเร็วและครอบคลุมทุกมุมโลก

สรุประบบสารสนเทศ

สรุป ระบบสารสนเทศ


          ระบบสารสนเทศ (Information System)
หมายถึง ระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ หรือจัดการกับข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ข้อมุลนั้นกลายเป็นสารสนเทศที่ดี สามารถนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้อง
          ระบบสารสนเทศประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้
 Hardware หมายถึง อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกระทำกับข้อมูล ทั้งที่เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข
Software หมายถึง ชุดคำสั่ง หรือเรียกให้เข้าง่ายว่า โปรแกรม ที่สามารถสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงานในลักษณะที่ต้องการภายใต้ขอบเขตความสามารถที่เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมนั้น ๆ สามารถทำได้ ซอร์ฟแวร์แบ่งออกเป็น ซอร์ฟแวร์ระบบ และ ซอร์ฟแวร์ประยุกต์
User หมายถึง กลุ่มผุ้คนที่ทำงานหรือเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ
Data  หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือ แสง สี เสียง สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์  ภาพ วัตถุ หรือ หลาย ๆ อย่างผสมผสานกัน ซึ่งข้อมูลที่ดีจะต้องตรงกับความต้องการของผู้ใช้
 Procedure หมายถึง  ขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานในระบบสารสนเทศ
           เมื่อทั้่ง 5 ส่วนดังกล่าวข้างต้น ทำงานประสานกัน ส่งผลให้ข้อมูลเกิดการประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์ นั่นก็คือ สารสนเทศนั่นเอง ซึ่งสารเสนทศนี้จะเป็นสารสนเทศที่ดี จะต้องเป็นสารสนเทศที่มีความถูกต้องตรงกับความต้องการของผู้ใช้และทันเวลาในการใช้งาน กล่าวโดยสรุปก็คือ กระบวนการสารสนเทศเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดสารเสนเทศขึ้นมานั่นเอง ซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วน นั่นคือ Hardware Software User  Procedure และ Data

หน่วยความจำหลัก

หน่วยความจำหลัก

                  หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เป็นแหล่งเก็บข้อมูลการทำงานของคอมพิวเตอร์ ซึ่งรวมทั้งตัวคำสั่งในโปรแกรมและข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะกำลังทำงานอยู่  แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ 

        1 แรม. (Random Access Memory: RAM) 
            
        เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลสำหรับใช้งานทั่วไป การอ้างอิงตำแหน่งที่อยู่ของข้อมูลใดๆ เพื่อการเขียนและการอ่านจะกระทำแบบการเข้าถึงโดยสุ่มคือ เรียกไปที่ตำแหน่งที่อยู่ข้อมูลใดก็ได้ หน่วยความจำนี้เรียกว่าแรม หน่วยความจำประเภทนี้จะเก็บข้อมูลไว้ตราบเท่าที่มีกระแสไฟฟ้ายังจ่ายให้วงจร หากไฟฟ้าดับเมื่อใดข้อมูลก็จะสูญหายทันที 
           เครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ ถ้ามีหน่วยความจำแรมมาก ๆ จะทำให้สามารถใช้งานโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ๆ ได้ดีด้วย หน่วยความจำที่นิยมในปัจจุบันจะประมาณ 32, 64, 128, 256 เมกะไบต์เป็นต้น 


         


         2. รอม (อ่านหน่วยความจำเท่านั้น ROM)
               
        เป็นหน่วยความจำอีกประเภทหนึ่งที่มีการอ้างอิงตำแหน่งที่อยู่ข้อมูลแบบเข้าถึง โดยสุ่มหน่วยความจำประเภทนี้มีไว้เพื่อบรรจุโปรแกรมสำคัญบางอย่าง เพื่อว่าเมื่อเปิดเครื่องมา ซีพียูจะเริ่มต้นทำงานได้ทันทีข้อมูลหรือโปรแกรมที่เก็บไว้ในรอมจะถูกบันทึกมาก่อนแล้ว ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถเขียนข้อมูลใด ๆ ลงไปได้ซึ่งข้อมูลหรือโปรแกรมที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้จะปิดเครื่องข้อมูลหรือโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป 



       

        ไมโครคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอาจมีขนาดของหน่วยความจำหลักแตกต่างกันตามแต่ความต้องการ ปัจจุบันเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่มีความจุมากขึ้น เพื่อให้สามารถบรรจุโปรแกรมขนาดใหญ่ได้